เมื่อหลายวันก่อนโมโหอะไรสักอย่าง จำไม่ได้แล้ว แต่เรื่องมันเกิดขึ้นจาก “พฤติกรรม” ของคนบางคน ซึ่งเดิมทีเป็นกลุ่มคนที่เราค่อนข้างรำคาญอยู่แล้ว และสงสัยในความเป็นอยู่ของพวกเขามาตั้งแต่ดั้งแต่เดิม (ขอยกตัวอย่าง อะไรที่หล่อหลอมให้คุณปลอดประสพ สุรสวดี บ้าบอคอแตกขนาดนี้ หรืออะไรที่ทำให้บังยี-วรวีร์ มะกูดี หน้าดานหน้าทนและยังคงยืนอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ ไปจนกระทั่งนักการเมืองที่ทุกคนในประเทศเอือม ทุกคนรู้ แต่ท่านเหล่านั้นเท่านั้นที่ไม่รู้
เอาจากบรรทัดฐานของสังคมที่ผมอยู่เป็นทุน เข้าใจว่าทุกคนล้วนมีชีวิตอยู่ด้วยสติปัญญาที่ถูกหล่อหลอมมาจากสังคมรอบข้าง ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า (แค่อาจจะเป็นไปได้นะครับ) ว่าคุณๆ ท่านๆ ที่ผมว่าไปด้านบน อาจจะเป็นบุคคลมีความสามารถจริง ก็คงจะเก่งกาจเพราะดูจากยศและตำแหน่ง ถ้าไม่เจ๋งจริงก็คงจะไม่ได้ขึ้นไปอยู่บนยอดพีระมิดของแวดวงที่สังกัดอยู่ได้ แต่ที่ทำตัวปัญญาอ่อนก็เป็นการจัดฉากให้ทุกอย่างเป็นไปตามแผนการที่วางไว้ (การมีเหตุผลนั้นถูกหักล้างง่ายกว่าการทำตัวโง่ๆ และไร้เหตุผลกว่ามาก เพราะจับต้องไม่ได้ สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือ ยักไหล่ และปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไป)
แต่ที่หัวข้อบล็อกตอนนี้พยายามจะบอกคือกลุ่มคนที่ใช้สมองอย่างผิดปกติจริงๆ ครับ
คำว่า “ปัญญาอ่อน” ในสังคมที่เราใช้กันอยู่ มีด้วยการหลายลักษณะ 1) ปัญญาอ่อนในลักษณะทีเล่นทีจริง เราด่าเพื่อนฝูงว่าปัญญาอ่อน เพื่อแสดงว่าเราไม่เห็นด้วยและออกจะขำๆ กับพฤติกรรมของพวกเขา เช่น เพื่อนเต้นท่าลิงกลางออฟฟิซ ก็อาจด่าได้ว่า “ปัญญาอ่อนว่ะมึง” และ 2) ปัญญาอ่อนที่ใช้กับคนที่ป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับประสาทจริงๆ เช่น เด็กดาวซินโดรม
ลักษณะแรกผมไม่ติดใจอะไรเพราะคิดว่ามันเป็นด่าและเสียดสีกันเล่นๆ เหมือนคำว่า “บ้า” ซึ่งเราต่างเองก็รู้ว่าพวกเราไม่ได้บ้า และไม่ได้ป่วยหรือมีปัญหาทางจิตในทางแพทย์เหมือนกับคนไข้ที่อยู่ในโรงพยาบาล เมื่อถูกด่าว่าปัญญาอ่อนก็แค่รับมาและยักไหล่ว่ามันไม่จริง เราแค่ทำอะไรเพี้ยนๆ ไปก็เท่านั้น
แต่ลักษณะที่สองนั้นผมไม่เห็นด้วย เพราะคนที่ป่วยทางจิตนั้นพวกเขาไม่ใช่ปัญญาอ่อน เขาเป็นคนป่วยและมีความผิดปกติเชิงกายภาพ คำว่า “ปัญญาอ่อน” เป็นแค่คำที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อปลอบประโลมพ่อแม่พี่น้องของผู้ป่วย เรียกผู้ป่วยด้วยคำที่ละมุนละไมที่สุด จับพวกเขามาอยู่ฝ่ายฝั่งเดียวกีบเราให้มากที่สุด บอกว่าเขาก็มีปัญญาเหมือนเรา แค่เพียงมันผิดปกติที่ใช้งานไม่ได้ตามปกติเท่านั้น
สำหรับผม คำว่า “ปัญญาอ่อน” นั้นมันมีความหมายอย่างที่คำมันบอกจริงๆ “ปัญญา” “อ่อน” คือมีการใช้ปัญญาอย่างอ่อนแอ ไม่มีตรรกะหรือความเชื่อมโยงของเหตุ-ผล หรือกระทั่งความถูกต้องของศีลธรรมกระทั่งมารยาททางสังคม
คนปัญญาอ่อนคือคนปกติที่เราเห็นอยู่บนถนน อยู่บนรถไฟฟ้า ในห้างสรรพสินค้า ฯลฯ เป็นคนที่ไม่ผิดปกติเชิงกายภาพ แต่ผิดปกติทางการใช้ปัญญา เหมือนคน เล่นบาสอ่อน เล่นกีตาร์อ่อน ใช้คอมพิวเตอร์อ่อน พวกเขาใช้ปัญญาได้โคตรอ่อน
ปัญญาที่ว่าคือความนึก-คิด ซึ่งมันหมายความว่า “ไม่นึกถึงคนอื่น” “ไม่นึกถึงความจริง” “ไม่นึกถึงสิ่งรอบตัว” “ไม่นึกถึงอนาคต” บางครั้งพวกเขายัง “ไม่นึกถึงตนเอง” รวมทั้ง “คิดไม่ออกว่าอะไรมันเชื่อมโยงอะไรให้เข้ากันบ้าง” “คิดไม่ออกว่าควรจะเชื่อหรือไม่เชื่ออะไร” หรือจะบอกว่าพวกเขา “คิดไม่เป็น” ก็อาจจะได้ โดยปัญญาอ่อนนี่ก็มีหลายระดับ ก็เหมือนกับการที่คนๆ หนึ่งเล่นกีตาร์ได้แค่ 3 คอร์ด ต่างจากอีกคนที่จับได้แค่คอร์ดเดียว แถมยังเป็นคอร์ดเดียวแบบบอดๆ อีกด้วย แน่นอนครับ ว่าบางคนทำได้แค่นั้น แต่ก็ยัง “คิด” ไม่ได้ว่าตัวเองนั้นยังเล่นกีตาร์อ่อนปวกเปียก กลับไปคุยโม้โอ้อวดว่าตัวเองนั้นผ่านการฝึกฝนจนชำนิชำนาญไปแล้ว นี่คือปัญญาอ่อน
ความอ่อนของปัญญาที่อ่อน ยังผกผันกับคนที่มาตีค่าความอ่อนนั้นด้วย เพราะเมื่อมองลึกถึงระบบความคิดของแต่ละคน ก็จะพบรูรั่วรอยโหว่ตามประสบการณ์และสายตาของปัญญา (อย่างผมที่กำลังเขียนอยู่นี้ หลายๆ คนก็อาจจะเห็นว่าปัญญาอ่อนมากๆ อยู่ก็เป็นได้)
ดังนั้น คำว่า “ปัญญาอ่อน” นั้นคู่ควรกับคนที่ทำตัว “ปัญญาอ่อน” จริงๆ แต่อย่าลืมว่าก่อนที่คนนั้นจะถูกด่าว่าปัญญาอ่อนก็คงจะไปแสดงตัวว่าปัญญาอ่อนให้คนอื่นเห็นมาก่อนถึงได้ถูกด่าด้วยคำคำนี้
และเรื่องจริงของความ “อ่อน” ก็คือ หลายๆ อย่าง (หรืออาจแทบทุกอย่าง) สามารถแข็งแรงขึ้นได้ตามความฝึกซ้อมและทำซ้ำด้วยสารพัดวิธี บางวิธีอาจเป็นทางที่ถูกต้อง แข็งแรงได้อย่างรวดเร็ว บางทางอาจผิดพลาด(หรืออาจถูกต้องน้อยหน่อย) แต่ปัญญาของเราก็แข็งขึ้นได้เป็นระดับด้วยการใช้ปัญญาซ้ำๆๆๆๆ แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะออกกำลังปัญญากันยังไง เหมือนการอ่าน อ่านงานที่มีประโยชน์มันก็น่าจะทำให้ชีวิตเราดีมากกว่าการอ่านเรื่องเสียวมากกว่าเป็นไหนๆ (โอเค มันก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณทำงานอะไรด้วย คุณอาจจะเป็นคอลัมนิสต์แนะนำเรื่องเสียว การอ่านลักษณะนี้ก็อาจจะเป็นเรื่องดีสำหรับคุณ) การใช้ปัญญาเกี่ยวข้องกับความคิดและการขบคิด ก็ควรจะหาเรื่องที่เหมาะสมแก่การขบ
ที่บ่นมาทั้งหมดก็เพราะรู้สึกหงุดหงิดกับการที่เด็กปัญญาอ่อนถูกจัดหมวดหมู่คู่ไปกับปัญญาอ่อนในความหมายเชิง “ใช้ปัญญาไม่เป็นทั้งที่มีความสามารถทำได้” เพราะผมเชื่อว่าถ้าเด็กดาวฯ หรือ “เด็กปัญญาอ่อน” เหล่านั้นมีทุกสิ่งปกติ
เขาอาจจะไม่ “ปัญญาอ่อน” เหมือนคนบางคนที่ครบ 32 แต่ว่าใช้ปัญญาไม่เป็น